วันจันทร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2553

สตาร์เทรค สงครามพิฆาตจักรวาล Star Trek : A Film by J.J. Abrams

สตาร์เทรค สงครามพิฆาตจักรวาล Star Trek : A Film by J.J. Abrams (อ่านฟรี e-book)
ระดับ 3 ดาว
สังคมจำลอง

เมื่อสมัยผมเด็กๆ ผมจะติดหนังทีวีมาก ดูทุกเรื่องที่มีฉาย หนังเรื่อง Star Trek ผมก็ดูทุกตอน แต่ไม่ชอบเลย เพราะตัวหนังดูเป็นหนังผู้ใหญ่ พูดกันทั้งเรื่อง มีแอ็คชั่นแค่ประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ ที่แย่คือรู้สึกว่าหนังไม่สนุก และดูไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่กระนั้นในอเมริกาก็เป็นหนังทีวีที่ดังมาก สร้างติดต่อกันหลายซีซัน มีแฟนพันธ์แท้อยู่กลุ่มหนึ่งที่เรียกตัวเองว่า แทร็กกี้ ต่อมาเมื่อกระแสหนังอวกาศอย่าง Star Wars โกยเงินถล่มทลายเป็นบ้าเป็นหลังอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ก็มีการสร้างเป็นหนังโรงชื่อ Star Trek The Movie กำกับโดย โรเบิร์ท ไวส์ ออกมาฉาย ผมดูแล้วก็ไม่ชอบอีกนั่นแหละ เพราะหนังออกมาก็คล้ายๆหนังทีวีคือพูดมาก แอ็คชั่นน้อย Star Trek ทำเป็นหนังโรงออกมาอีกหลายตอน สนุกบ้างไม่สนุกบ้างจนถึงจุดอิ่มตัว ประกอบกับนักแสดงแต่ละคนก็แก่จนเล่นหนังกันแทบจะไม่ไหวแล้ว ทางเจ้าของลิขสิทธิ์หนังเลยสร้างหนังทีวี Star Trek The Next Generation ขึ้นมา สร้างทีมนักแสดงชุดใหม่ขึ้นมาทั้งหมด นักแสดงชุดเก่ารู้ตัวว่ากำลังถูกปลดระวาง ก็ออกมาประท้วงกัน แต่ก็ทำอะไรไม่ได้หรอกครับ หนังทีวี Star Trek The Next Generation ทำออกมาได้ไม่เลว สนุกดี ต่อมาก็ทำเป็นหนังโรงอยู่หลายตอน จนถึงจุดอิ่มตัว ก็เลิกสร้างไป

ล่าสุดมีหนังโรง Star Trek : A Film by J.J. Abrams ออกมา ตัว J.J. Abrams ถือเป็นลูกหม้อของวงการทีวีอเมริกัน จะเรียกว่าเป็นผู้กำกับหนังทีวีระดับอัจฉริยะยุคนี้ก็ได้ เพราะทำหนังออกมาแต่ก็เรื่องกลายเป็นหนังฮิตไปหมด การที่เขาขุดเอา Star Trek มาปัดฝุ่นสร้างใหม่จึงถือเป็นหนังที่น่าดูมากๆ

 หนังที่ออกมาก็ไม่น่าผิดหวังครับ ดีมากเลย ดีอย่างที่คิดไม่ถึง Star Trek ฉบับดั้งเดิมมีข้อเสียคือพูดกันเสีย 90 % มีแอ็คชั่นแค่ 10 % แต่ตัว J.J. Abrams ปรับฟอร์มหนังใหม่ คือคราวนี้ พูดกัน 50 แอ็คชั่น 50 เลยดูสนุกร่วมสมัยขึ้นมาเยอะ แต่ยังไม่ให้ 4 ดาวเพราะรู้สึกว่า เคยมีหนังแนวที่เอาหนังเก่ามาสร้างใหม่แล้วดีกว่านี้ ลงตัวกว่านี้

อย่างที่บอกไปแล้วตัวผมเองไม่เคยชอบหนังทีวี Star Trek ต้นฉบับเลย ซึ่งตัว J.J. Abrams ก็ดูเหมือนจะรู้ข้อบกพร่องของหนัง Star Trek ฉบับดั้งเดิมดี พอเอามาทำใหม่ ก็ปรับจุดด้อยหลายอย่างออก เติมจุดเด่นเข้าไป คราวนี้ทำให้ Star Trek กลายเป็นหนังที่น่าดูมากๆ เป็นการปรับลุกค์ของหนังให้ดูร่วมสมัยสุดๆ เท่าที่ฟอร์มของหนังมันจะอำนวยให้

ก่อนเขียนบท ดูออกเลยว่าทีมงานทำการบ้านมาอย่างดี หนังเก็บรายละเอียดของหนังทีวี Star Trek ฉบับดั้งเดิมได้ครบหมด หนังย้อนไปจับเอาเรื่องของกำเนิดกับตันเคิร์ก พ่อของกับตันที่เสียสละตัวเองเพื่อให้ลูกเรือรอดชีวิต ตัวกับตันเคิร์กกลายเป็นเด็กมีปัญหา กำเนิดสป็อคที่ก็เป็นเด็กที่มีปัญหาพอกัน เสือกับสิงห์มาเจอกันก็ต้องหักเหลี่ยมเฉือนคมกันเป็นธรรมดา การที่ตัวกับตันเคิร์กจะกลายมาเป็นผู้นำยานเอ็นเตอร์ไพร์ซได้ก็ต้องแสดงศัยภาพที่เหนือกว่าสป็อก เรียกว่าต้องสยบสป็อคให้อยู่หมัดจนสป็อคสยบยอมเสียก่อน ซึ่งตัวเคิร์กก็ทำได้เยี่ยม สมัยดูหนังทีวีต้นฉบับ ถึงแม้เราจะดูหนังไม่รู้เรื่อง แต่สิ่งหนึ่งที่รู้สึกได้คือ ตัวกับตันเคิร์กมีความเป็นผู้นำ หลายๆสถานการณ์ที่ลูกเรือยานเอ็นเตอร์ไพรซ์อยู่ในภาวะคับขัน กับตันเคิร์กก็แก้ปัญหาให้ลุล่วงไปได้ง่ายดาย ด้วยบุคลิกที่ดูเงียบๆขรึมๆตามแบบผู้นำ บางครั้งกับตันเคิร์กก็เล่นตุกติก นอกกติกา หรือมีลูกบ้าชนิดที่นึกไม่ถึง ฉากแบบที่ว่านี้มีให้ดูในหนังโรงตอนไคล์แม็กของ Star Trek II : The Wrath of Kahn ลองไปหาดู มาฉบับนี้ หนังอธิบายว่า ตัวเคิร์กเป็นเ ด็กมีปัญหา ถึงได้มีลูกบ้าเยอะ กล้าตัดสินใจแบบบ้าบิ่นหรือเสี่ยงสุดๆ กล้าได้กล้าเสีย บางฉากเคิร์กลุยด้วยตัวเอง เสี่ยงชีวิตด้วยตัว เพราะเคิร์กไม่ใช่เอาแต่นั่งอยู่บนหอคอยงาช้างชี้นิ้วสั่งคนอื่น ทำให้เขาเป็นที่ยอมรับของลูกเรือ และเพราะสามารถในการแก้ไขสถาณการคับขันที่เหนือกว่า เขาจึงได้เป็นผู้นำในที่สุด

ขณะที่เขียนบทความนี้ ตัวผมเองกำลังเรียนวิชาวาดเขียนพื้นฐานรอบเช้าอยู่ที่วิทยาลัยสารพัดช่างธนบุรี ก่อนหน้านี้ผมก็เรียนวิชาอื่นๆของวิทยาลัยนี้มาหลายวิชา ทุกวิชา ทุกเทอม มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันหมดคือบรรดานักเรียนที่มาเรียนกันเต็มต้อง ทุกคนนิสัยไม่เหมือนกันเลย มีตั้งแต่นิสัยดีสุดจนแย่สุด เรียนเก่งสุดจนถึงเรียนไม่ได้เรื่องเลย ไม่มีใครดีพร้อมหรอกครับ ทุกคนขาดตกบกพร่องกันทั้งนั้น แต่แม้กระนั้น เมื่อเรียนๆกันไป ทุกคนก็รู้จักที่จะปรับตัวเข้าหากัน พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ประณีประนอมกัน เอาจุดดีของแต่ละคนมาช่วยเหลือกัน ส่วนที่บกพร่องก็พยายามอย่าเอาออกมาใช้ ทุกคนช่วยกันประคับประคองการเรียนให้ผ่านพ้นไปด้วยดี จนครบ 150 ชั่วโมงหรือประมาณ 2 เดือนครึ่งในแต่ละเทอม ซึ่งไอ้ภาพทั้งหมดที่ผมเห็นมานี่ มีอยู่ครบถ้วนในหนัง Star Trek ฉบับนี้

ตัวละครในยานเอ็นเตอร์ไพร้ซ์ไม่มีใครดีพร้อมหรอกครับ มีข้อบกพร่องกันบ้าง แต่ทุกคนก็เอาจุดเด่นหรือความสามารถเด่นๆที่ตัวเองมีแต่คนอื่นไม่มีมาใช้กันเต็มที่ บางตัวก็ใช้สามารถของตัวเองช่วยชีวิตเคิร์กเอาไว้ แต่การที่ตัวเคิร์กจะได้เป็นผู้นำ ก็เพราะเขาเป็นคนเดียวที่มีความสามารถสูงสุดในการแก้ปัญหา และพาลูกเรือทุกคนผ่านพ้นวิกฤตไปได้

ดูหนังไปจนจบเลยรู้ว่านี่ไม่ใช่แค่หนังที่ทำออกมาดูสนุกๆเท่านั้นหรอกครับ เป็นหนังที่สอนคนทั้งโลกเลยละมั้ง ว่าสังคมในอุดมคติมันควรจะเป็นอย่างไง การบริหารครอบครัวในบ้าน การบริหารงานในบริษัท หรือการบริหารประเทศสักประเทศหนึ่งมันควรจะเป็นอย่างไง หรือจะพูดกันให้ชัดๆคือมันควรจะเป็นอย่างในหนัง Star Trek ฉบับนี้นี่แหละ แม้กระนั้นก็ยังมีบางประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่บริหารแบบตรงข้ามกับหนัง Star Trek คือคนในประเทศนั้น เอาส่วนที่เลวที่สุดในตัวมาบริหารประเทศกัน กล่าวหากัน ด่าทอกันหยาบๆคายๆ ตั้งม็อบตั้งกลุ่มประท้วงกัน แบ่งสีแบ่งข้าง สาดโคลนใส่ร้ายซึ่งกันและกัน ปิดถนน ยึดทำเนียบ ปิดสนามบิน โจมตีกัน ทำร้ายกัน ทำลายกัน เข่นฆ่ากันสารพัดรูปแบบ ทำกันอีแบบนี้ ประเทศมันจะพังเอาวันไหนก็ไม่รู้ คิดแล้วเศร้าใจจริงๆ

หยงฮ้ง แซ่เตียว
วันเสาร์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ชาร์ลีกับโรงงานช็อคโกแล็ค Charlie and the Chocolate Factory

ชาร์ลีกับโรงงานช็อคโกแล็ค Charlie and the Chocolate Factory (อ่านฟรี e-book)
ระดับ 3 ดาว
หนังสอนเด็กระดับเหนือชั้น

สมัยผมเด็กมากๆ น่าจะประมาณสิบกว่าขวบ ตอนนั้นผมอยู่ที่อำเภอดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี มีหนังฝรั่งเรื่องหนึ่งโฆษณาทางทีวี เรื่อง Charlie and the Chocolate Factory ถ้าจำไม่ผิดจะตั้งชื่อไทยว่า วิลลี่ วองก้า กับโรงงานช็อคโกแล็ค ประมาณนี้ บริษัทจัดจำหน่ายหนังโปรโมทหนังเรื่องนี้ด้วยการเอาคนแคระถ้าจำไม่ผิดจะ 4 คน มาแต่งหน้า แต่งตัว ใส่วิกผมแบบตัวคนแคระในหนังมาออกทีวีโฆษณาหนัง มีการให้สัมภาษณ์ ร้องเพลงเต้นรำ ในความรู้สึกของผม เป็นการโปรโมทที่เด่นมากๆ และทำให้หนังเรื่องนี้น่าสนใจมากๆ

ช่วงนั้นบังเอิญเป็นช่วงปิดเทอม พี่ชายชื่อเจียงที่ทำงานเป็นคนขายทองอยู่ที่ร้านขายทองยิ่งเจริญแถวบางรักก็พาผมกับน้องชายและพี่สาวไปเที่ยวกรุงเทพฯ และพาไปดูหนังเรื่องนี้ ถ้าจำไม่ผิดจะฉายที่โรงหนังออสก้า (ถ้าผิดก็ส่งข้อความมาบอกกันในบล็อกด้วยนะครับ) ไปถึงหน้าโรง พี่ชายซื้อตั๋วเสร็จก็เห็นคนแคระที่แต่งตัวเลียนแบบตัวละครในหนังเดินผ่านมา พี่สาวบอกให้ผมไปขอจับมือด้วยแต่ผมไม่กล้า เราเข้าไปดูหนังกัน

หนังน่าดูมากๆ น่าตื่นตาตื่นใจ เปิดเรื่อง วิวลี่ วองก้า เจ้าของขนมช็อคโกแล็คที่ขายดีที่สุดในโลก และเป็นมหาเศรษฐีที่รวยมากๆ จะเปิดโรงงานช็อคโกแล็คให้เด็ก 5 คนเข้าไปเยี่ยมชม โดยจะใส่บัตรทองในซองช็อคโกแล็ค 5 ใบ ช่วงนี้หนังทำได้น่าตื่นเต้นจริงๆ บัตรทองใบแรกเด็กอ้วนเยอรมันจอมตะกละได้ไป บรรดานักข่าวไปสัมภาษท์พ่อแม่เด็กซึ่งอ้วนมากทั้งคู่เหมือนกัน ตอนนั้นทั้งคู่กำลังกินอาหารกันอย่างมูมมาม นักข่าวถามว่ารู้สึกอย่างไงที่ลูกจับได้บัตรทอง ตัวพ่อหันมากัดไมโครโฟนกลืนลงท้อง คนดูหัวเราะกันลั่นโรง ช่วงที่บัตรทองถูกเด็กแต่ละคนจับได้แต่ละใบ เป็นช่วงที่หนังสนุกน่าตื่นเต้นจริงๆ ฉากที่ตัวพระเอก เด็กชื่อชาลีจับได้บัตรทองก็ทำได้ดีครับ เด็กเปิดซองช็อคโกแล็กฉีกหัว ฉีกท้าย ไม่มีบัตรทอง คนดูคิดว่าพระเอกคงไม่ได้แล้ว แต่พอฉีกกระดาษออก ตัวบัตรทองคาดอยู่ตรงกลางซอง เป็นลูกเล่นที่ดีจริงๆ

เด็ก 5 คนพร้อมผู้ปกครองอีก 5 คนได้รับอนุญาติให้เข้าเยี่ยมชมโรงงาน ทั้งหมดรวมทั้งสื่อมวลชน และประชาชนที่สนใจมายืนรอที่ประตูทางเข้าโรงงาน ด้านหน้าโรงงานว่างเปล่า ไม่มีใครเลย พอได้เวลานัด ประตูเปิดออก ยีน ไวเดอร์ แสดงเป็น วิลลี่ วองก้า ใส่ชุดสูทหรู ถือไม้เท้า เดินออกมา วิลลี่ วองก้า ไม่เคยปรากฏตัวให้สาธารณะชนเห็นมาก่อน นี่เป็นครั้งแรกที่ประชาชนจะได้เห็นเขา วิลลี่ วองก้า ปรากฏตัวด้วยใบหน้า เฉยเมย หน้าตาดูเป็นคนไม่มีความสุข เขาเดินเอาไม้เท้าค้ำพื้น และเดินขากระเผกช้าๆ ทีละก้าวๆ แบบคนพิการ ท่าทางดูน่าสงสาร ทุกคนแสดงสีหน้าผิดหวัง ฉากนี้ได้อารมณ์เศร้ามากๆ คนดูอึ้งกันไปทั้งโรง พอเดินมาถึงหน้าประตู วิลลี่ วองก้า ก็ก้มลง ม้วนตัวกับพื้นไปข้างหน้าแบบนักกายกรรมและลุกขี้นยืนยืดอก ยิ้ม ชูสองมือขึ้นแบบยินดีต้อนรับ เหมือนกับจะบอกว่า เมื่อกี้นี้ล้อเล่น ทุกคนปรบมือ ประตูเปิด วิลลี่ วองก้า เชิญเด็กและผู้ปกครองเข้าเยี่ยมชมโรงงาน เป็นฉากเปิดตัว วิลลี่ วองก้า ที่น่าประทับใจมากๆ

วิลลี่ วองก้า พาเด็กเข้าเยี่ยมชมโรงงานในแต่ละส่วน  ทุกห้องที่เข้าไปน่าตื่นตาตื่นใจ ฉากแรกพาเข้าไปในสวน แต่ต้นไม้ทุกต้นทำจากช็อกโกแล็ก และกินได้หมด วิลลี่ วองก้า อนุญาติให้ทุกคนกินทุกอย่างได้เท่าที่จะกินไหว ฉากนี้สนุกมากครับ เด็กอ้วนชาวเยอรมันกินอย่างตะกละตะกลามและละเมิดข้อห้าม ทำให้ประสบอุบัติเหตุจนไปต่อไม่ได้ ต้องหยุดการเดินทางแค่นั้น ฉากนี้เหมือนจะสอนเด็กว่า ความตะกระตะกรามเป็นเรื่องไม่ดี

วิลลี่ วองก้า พาเด็กไปดูโรงงานในห้องต่อๆไป เด็กอีก 3 คนเป็นลูกคนรวยที่พ่อแม่เอาแต่ใจจนเสียคน แต่ละคนก็เรียกร้องจะเอาสิ่งที่ วิลลี่ วองก้า ไม่ขาย พอไม่ได้อย่างใจ เด็ก 3 คนก็ละเมิดกฎแห่งความปลอดภัยที่ วิลลี่ วองก้า เตือนเอาไว้ว่าห้ามทำ เด็ก 3 คนดันทุรังทำ และก็พบจุดจบที่ไม่สวย และก็ต้องออกจากโรงงานก่อนจะพาชมจนครบ หนังดีครับ เป็นหนังสอนเด็กให้รู้ว่า ถ้าทำตัวไม่ดีจะเป็นอย่างไร แต่ตัวคนแต่งเรื่องคือ โรอัล ดาห์ เป็นนักเขียนระดับอัจฉริยะ คือแทนที่จะสอนกันตรงๆ ก็แต่งเรื่องแฟนตาซีขึ้นมา เรื่องทั้งเรื่องเกิดขึ้นในฉากเหนือจริงแบบหนังการ์ตูน ตัวนิยายเลยทั้งสนุกและมีสาระไปด้วยพร้อมๆกัน

ชาลีเป็นเด็กยากจน เขาพาลุงไปด้วย ตัวลุงด้วยความที่เห็นว่าครอบครัวยากจนมาก ถ้าขโมยของมีค่าสักชิ้นเอาออกไป จะช่วยให้ครอบครัวตั้งตัวได้ ซึ่ง วิลลี่ วองก้า ก็จับได้ เขาโกรธและขับไล่ตัว ชาลี และลุงออกจากโรงงานโดยไม่คิดที่จะทวงของมีค่าคืน ตัวชาลีเอาของที่ลุงขโมยมาคืนให้ กล่าวขอโทษและเดินจากไป วิลลี่ วองก้า เห็นว่าชาลีเป็นเด็กดีมาก เพราะถ้าชาลีไม่คืนของมีค่าและเอาออกไปขาย ชาลีจะกลายเป็นเด็กที่ร่ำรวยขึ้นมาทันที เขาตัดสินใจยกโรงงานช็อคโกแล็คของเขาให้กับชาลี เพราะตัวเขาเองก็แก่มากแล้วและไม่มีทายาท เขาต้องการหาทายาทเพื่อดูแลกิจการต่อ เรื่องจบลงแบบแฮ็ปปี้เอ็นดิ้ง

ยีน ไวเดอร์ เล่นเป็น วิลลี่ วองก้า ได้ดีมากๆ เล่นได้เด่นที่สุดในเรื่อง แย่งความเด่นใส่ตัวเองในทุกฉาก เป็นศูนย์กลางของหนัง เป็นบทที่เด่นมากๆในชีวิตการแสดงของเขา ยีน ไวเดอร์ ทำให้ วิลลี่ วองก้า เป็นมหาเศรษฐีที่ดูหล่อ เท่ห์ สง่า มีเสน่ห์ ดูมีพลัง มีอำนาจ และมีความลึกอยู่ในตัว เรียกว่า ยีน ไวเดอร์ เล่นได้ดีอย่างหาที่ติไม่ได้ และหนังเรื่อง Charlie and the Chocolate Factory ก็เป็นหนังผมประทับใจมากๆเรื่องหนึ่ง

แต่... เมื่อไม่กี่ปีมานี้ ผมดูทีวี มีรายการทีวีรายการหนึ่ง เอาคลิปหนังเรื่องนี้สั้นๆมาฉาย เป็นฉากลิฟต์แก้วที่พุ่งขึ้นทะลุหลังคากระจก ดูแล้วรู้สึกผิดหวัง มาดูยุคนี้มันกลายเป็นหนังที่เชยไปแล้ว ถ้าเอาหนังเต็มๆเรื่องมาดูกันในยุคนี้ มันก็จะกลายเป็นหนังที่พ้นยุคพ้นสมัย และไม่น่าดูอีกแล้ว เลยเข้าใจว่าทำไม ทิม เบอร์ตัน ถึงเอาหนังเรื่องนี้มาสร้างใหม่

ตอนที่หนังเรื่องนี้กำลังจะออกฉาย ผมก็คิดว่า หนังเรื่องนี้คงไม่ได้เงินหรอก เพราะยุคนี้หนังแอ็คชั่นกำลังบูม แต่เรื่องนี้ไม่ใช่หนังแอ็คชั่น แถมยังเป็นการเอาหนังเก่ามาสร้างใหม่ ซึ่งทำให้ดูไม่น่าสนใจ เพราะมันดูเก่า ไม่สด ไม่ใหม่ ไม่น่าจะเรียกคนดูเข้าโรงได้ นักวิจารณ์หนังทางวิทยุคนหนึ่งก็คิดแบบเดียวกับผม แต่พอหนังออกฉาย มันทำเงินติดอันดับ 1 ในสัปดาห์แรก เรียกว่าหักปากกาเซียนโดยสิ้นเชิง

Charlie and the Chocolate Factory ฉบับสร้างใหม่ทำออกมาได้ดีครับ โปรดักชั่นรวมถึงการเล่าเรื่องดูทันสมัย เข้ายุคเข้าสมัยดี ความที่เอานิยายมาทำ เนื้อเรื่องส่วนใหญ่ก็จะเหมือนกับหนังฉบับเก่าที่ผมเคยดูไปแล้ว จะมีแตกต่างกันบ้างก็ตรงรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ หนังเดินเรื่องได้ดี ดูสนุก ซื้อ vcd เรื่องนี้มาแล้ว สามารถเอามาดูซ้ำได้หลายๆรอบโดยไม่เบื่อ และความที่หนังสร้างกันในยุคนี้ เทคนิคพิเศษหรือซีจีก็สร้างภาพที่หนังยุคเก่าๆทำไม่ได้มาทำให้ดูกัน เพราะอย่างนี้ผมถึงรู้สึกไงว่า ถ้าเอา Charlie and the Chocolate Factory ฉบับเก่าที่ผมเคยดูมาดูตอนนี้มันคงเชยไปแล้ว

สรุปว่าเป็นหนังที่ดีครับ โดยเฉพาะคนที่เคยดูหนัง Charlie and the Chocolate Factory ฉบับเก่าแบบผม ซื้อหนังเรื่องนี้มาดูแล้วก็รำลึกถึงความหลังได้ดีทีเดียว สำหรับเด็กวัยรุ่นยุคนี้มาดูก็คงได้สนุกกัน เพราะหนังทำได้เข้ายุคเข้าสมัยดีทีเดียว

หยงฮ้ง แซ่เตียว
วันเสาร์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2553

วันพฤหัสบดีที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ทุ่งสังหาร The Killing Fields

ทุ่งสังหาร The Killing Fields
ระดับ 4 ดาว
ไล้ฟ์แอนไทมส์

หนังสือชีวประวัติ หรือถ้าเขียนเองจะเรียกอัตชีวประวัตินั้นจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท อย่างแรกคือประวัติบุคคลสำคัญของโลก ซึ่งจะต้องมีความน่าสนใจแน่ๆ อีกประเภทคือชีวประวัติของคนที่ไม่สำคัญ แต่บังเอิญมีชีวิตอยู่ในช่วงที่เหตุการณ์ตอนนั้นมีความสำคัญ ชีวิตของบุคคลคนนั้นจึงพลอยมีความสำคัญ หรืออย่างน้อย มีความน่าสนใจตามไปด้วย

ยกตัวอย่างเช่น ประวัติของ อด็อฟ ฮิตเลอร์ น่าสนใจและมีความสำคัญแน่ๆ แต่ก็มีหนังสือชื่อ ไดอารีออฟแอนแฟร้งค์ ที่ดังมากๆ แอนแฟร้งค์เป็นเด็กสาวชาวยิว ช่วงที่พรรคนาซีครองเมืองและจับบรรดาชาวยิวเข้าค่ายกักกัน พ่อของเธอพาคนในครอบครัวหนีขึ้นไปหลบบนต้องใต้หลังคา แอนแฟร้งค์บันทึกเหตุการณ์ในช่วงนั้นเอาไว้ ไม่นาน ครอบครัวของเธอก็ถูกทหารนาซีค้นพบ ทั้งหมดถูกจับตัวไป แอนแฟร้งค์ไปเสียชีวิตในค่ายกักกัน

หนังสือชีวประวัติจะเน้นเรื่องของไล้ฟ์แอนไทมส์ คือชีวิตของเขา และช่วงเวลาที่เขามีชีวิตอยู่ The Killing Fields ก็ทำมาจากบทความชิ้นหนึ่ง เป็นไล้ฟ์แอนไทมส์ของนักข่าว 2 คน คือ ซิดนี่ย์ แซนเบิร์ก กับ ดิพ ปราน

ต้นปี 1972 นักข่าวจากนิวยอร์คไทมส์ ซิดนีย์ แซนเบิร์ก ได้เดินทางไปกัมพูชาเพื่อทำข่าวสงครามระหว่างเขมรแดงและฝ่ายรัฐบาล โดยมีผู้ช่วยเป็นชาวเขมร คือ ดิพ ปราน ทั้งสองไม่ใช่บุคคลสำคัญในเหตุการณ์ช่วงนั้น แต่ไล้ฟ์แอนไทมส์ของทั้งคู่ดำเนินควบคู่ไปกับสงครามในช่วงนั้น ยิ่งทั้งคู่เป็นนักข่าว จึงเกาะติดกับเหตุการณ์ในช่วงนั้นอย่างแนบแน่น ชีวิตของทั้งสองจึงมีความน่าสนใจขึ้นมาทันที

ว่ากันตามจริง ชีวิตนักข่าวอเมริกันอย่างซิดนีย์ แซนเบิร์ก ค่อนข้างสะดวกสบาย และเอาเข้าจริงๆ ตัวซิดนีย์ แซนเบิร์กเข้าไปเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์อย่างผิวเผินมาก แต่พอบางช่วงที่พวกเขาต้องเกือกถูกทหารเขมรแดงฆ่า แต่รอดมาเพราะได้ดิพ ปราน ไปกล่อมพวกทหาร ร้องชีวิตนักข่าวฝรั่งอยู่นาน เราก็ได้เห็นว่า ขนาดนักข่าวเส้นใหญ่อย่างนักข่าวอเมริกัน ในบางสถานการณ์ยังเอาชีวิตแทบไม่รอด นับประสำมหาอะไรกับบรรดาประชาชนคนเขมรธรรมดาๆ อันตรายยิ่งเข้ามาใกล้ตัวเอาได้ง่ายๆยิ่งกว่า

หนังเรื่องนี้ยกกองมาถ่ายทำในเมืองไทยประมาก 90 เปอร์เซ็นต์ของหนัง โดยใช้โลเกชั่นของไทยแทนประเทศเขมร ยกกองไปถ่ายทำในเขมรจริงๆไม่ได้หรอกครับ ทำหนังด่าประเทศเขานี่ ใครจะยินดีต้องรับ ช่วงที่มาถ่ายทำในไทยใช้เวลานานหลายเดือน และเป็นข่าวใหญ่มากในวงการบันเทิงอยู่พักใหญ่ หนังใช้ทีมงานคนไทยไปร่วมงานอยู่หลายคน ผู้กำกับหนัง เปี๊ยก โปสเตอร์ ก็ทำงานในหนังเรื่องนี้ด้วยในตำแหน่งผู้ช่วยผู้กำกับ คุณเปี๊ยกเล่าให้ฟังว่า ฝรั่งถามว่าคุณเป็นผู้กำกับหนังไทยใช้ทุนสร้างหนังหนึ่งเรื่องเท่าไหร่ เปี๊ยกตอบว่า 3 ล้านบาท ฝรั่งพูดว่า ยูจะบ้าเหรอ 3 ล้านบาท ค่าตัวดาราฮอลลีวูดยังไม่พอเลย

นึกถึงเรื่องนี้ ผมก็นึกถึงฟอร์มของหนังไทยในช่วงนั้น ซึ่งน่าจะตรงกับหนัง บุญชูผู้น่ารัก ภาค 1 หรือหนัง นวลฉวี ทุนสร้างหนังไทยยุคนั้น 1 เรื่องก็ประมาณ 3 ล้านบาทอย่างที่ว่า ถ้าเอา The Killing Fields ไปเทียบกับหนังทุนสร้าง 3 ล้านบาทของไทยยุคนั้น หนัง The Killing Fields จะกลายเป็นหนังฟอร์มยักษ์ไปเลย

The Killing Fields มาดูยุคนี้ อะไรหลายๆอย่างก็ดูเชยๆไปแล้วละครับ ทั้งมุมกล้อง ฉาก เสื้อผ้า รวมถึงการเล่าเรื่อง ดูครึ่งแรกก็เซ็งๆอยู่เหมิอนกัน แต่พอดูไปได้ครึ่งเรื่อง พอปรับตัวเข้ากับความเชยของหนังได้แล้ว ทีนี้รู้สึกเลยว่า นี่เป็นหนังที่ดีมาก ดีจนต้องพูดว่า นี่เป็นหนังระดับ 4 ดาว คือ ยอดเยี่ยม

หนังดูเหมือนจะแบ่งออกเป็น 2 ภาค ภาคแรกเป็นเรื่องของซิดนี่ย์ แซนเบิร์ก กับ ดิพ ปราน แม้ทั้งคู่จะเข้าไปเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ทางการเมืองช่วงนั้นอย่างผิวเผินเอามากๆ แต่ชีวิตของทั้งสองคนก็สะท้อนภาพเหตุการณ์ความรุนแรงของช่วงนั้นออกมาได้ดีทีเดียว ช่วงครี่งหลัง เป็นการผจญภัยของดิพ ปรานคนเดียว ล้วนๆ ช่วงนี้เข้มข้นมากๆ เพราะทีนี้ตัวดิพ ปราน เข้าไปสัมผัสกับความโหดร้ายของเขมรแดงแบบเต็มตัว และเกือบเอาชีวิตไม่รอด

ดูจบแล้วก็ต้องขอย้ำอีกครั้งว่า นี่เป็นหนังที่ยอดเยี่ยม ตอนดูเราอาจจะติว่า หนังพูดถึงเรื่องการเมืองน้อยมาก แต่คิดดูอีกที สำหรับผมที่ไม่ได้สนใจการเมืองเขมรอะไรอยู่แล้ว หนังแตะเรื่องการเมืองแค่นี้ถือว่าคนเขียนบทฉลาดมากแล้ว เพราะคนดูหนังส่วนใหญ่ในโลกก็เหมือนกับผมละครับ คือไม่สนใจการเมือง ต้องการดูหนังเพื่อความบันเทิง หนังเน้นเรื่องของการผจญภัยของตัวเอกสองตัว ทำให้หนังเรื่องนี้เป็นทั้งหนังคุณภาพและหนังที่สร้างเพื่อความบันเทิงไปด้วยพร้อมๆกันอย่างลงตัว และอย่างที่ไม่น่าจะเป็นไปได้

สนุกครับ ยิ่งใครเคยดูมาแล้วมาดูซ้ำก็ยังสนุก แต่สำหรับคอหนังวัยรุ่นนี้ ไม่แน่ใจว่าจะสนุกกับหนังเรื่องนี้หรือเปล่า ดูแล้วจะเข้าใจว่าทำไมพอนักข่าวญี่ปุ่นถูกยิงตายในไทย ทางรัฐบาลของเขาถือเป็นเรื่องใหญ่ และทำไมนายกรัฐมนตรีของอังกฤษจึงยกเลิกกำหนดการมาเยือนประเทศไทย และดูจบก็ได้แต่ภาวนาอย่าให้เมืองไทยเป็น The Killing Fields หรือบางทีผมอาจจะลืมไป เพราะบางส่วนของกรุงเทพฯมันเคยเป็น The Killing Fields มาแล้ว

ซื้อหนัง The Killing Fields มาดูเถอะครับ ดูแล้วเข้ากับเหตุการณ์บ้านเมืองของเราช่วงนี้ดีจริงๆ

หยงฮ้ง แซ่เตียว
วันเสาร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ปิดตึกสยอง Quarantine

ปิดตึกสยอง Quarantine
ระดับ 3 ดาว

วันหนึ่ง ผมยืนอยู่ที่ด้านหน้าโรงหนังเมเจอร์ซีนีเพล็กซ์ ปิ่นเกล้า ที่หน้าโรงมีแสตนโปสเตอร์หนังเรื่อง Quarantine และมีหนังตัวอย่างให้ดูด้วย เห็นตัวอย่างครั้งแรกสะดุดตา แปลกใหม่ ตื่นเต้น และน่าดูเอามากๆ

Quarantine เป็นหนังรีเมคจากเรื่อง Rec ตัวผมเองยังไม่เคยดูเรื่อง Rec มาก่อน ถ้าได้ดูเมื่อไหร่จะนำมาเขียนถึงในโอกาสต่อไป สำหรับ Quarantine มีเสียงวิจารณ์ว่าสนุกกว่า Rec เพราะทุนสร้างสูงกว่า ความที่ตัวอย่างตัดออกมันสุดขีด พอดูหนังจริงๆ ผมค่อนข้างผิดหวังในช่วงครึ่งแรก เพราะเดินเรื่องไม่ค่อยตื่นเต้นสักเท่าไหร่ พอเข้าครึ่งหลังหนังค่อยๆทวีความตื่นเต้นมากขึ้นเรื่อยๆ และไปลุ้นเอามากๆในตอนจบ ดูจบแล้ว ถือว่าเป็นหนังที่ทำได้ตื่นเต้นมากเรื่องหนึ่ง แต่ไม่ค่อยน่าประทับใจ

นักข่าวสาวถ่ายทำสารคดีเชิงข่าวชีวิตพนักงานดับเพลิง ระหว่างนั้นเกิดเหตุร้ายที่ตึกแห่งหนึ่ง นักข่าวและตากล้องติดรถไปด้วยเพื่อถ่ายทำรายการ แต่พอไปถึงที่ตึกแห่งนั้น ทุกคนไม่ได้กลับออกมาอีกเลย

ได้ยินมาว่าหนังเรื่อง Rec จะถ่ายทำโดยแบบที่ไม่มีการตัดภาพ แต่ Quarantine ช่วงครึ่งแรกจะมีการตัดภาพเป็นระยะๆ ทำให้เสียความรู้สึกอยู่เหมือนกัน หนังเล่าเรื่องโดยผ่านกล้องถ่ายทำข่าวเพียงตัวเดียว ถือเป็นการเล่าเรื่องที่มาแปลก อาจจะไม่ใหม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะผมเคยดูหนังเรื่อง เรียลไทมส์ ถ้าจำไม่ผิดจะเป็นหนังแม็กซิโก ถ่ายทำแบบไม่ตัดภาพทั้งเรื่อง หนังเรื่องเรียลไทมส์ไม่ค่อยสนุกเท่าไหร่ แต่การเล่าเรื่องถือว่ากล้า และแปลกดี ทุกวันนี้เห็นยังมี vcd ขายกันอยู่ คุณภาพ Quarantine อยู่ในระดับดีครับ แต่หลายๆอย่างยังไม่น่าประทับใจเท่าไหร่ ข้อเสียคือ เราไม่รู้สึกผูกพันกับตัวละครตัวไหนเลย พอตัวละครกำลังจนมุมหรือกำลังจะพลาดท่าพวกซอมบี๊ เราดูแล้วเลยไม่ค่อยลุ้นหรือสะเทือนใจเท่าไหร่ แต่ตอนจบก็ทำได้ดีมาก ซึ่งก็ต้องยกความดีให้กับหนังเรื่อง Rec ที่เป็นต้นฉบับ

น่าดูครับ เทคนิกการสร้างก็ได้มาตรฐานหนังฮอลลีวู้ด ผมดูตอนกลางคืน ฉากท้ายๆน่ากลัวดีทีเดียวโดยเฉพาะดูในห้องมืดๆคนเดียว ดูจบแล้วอยากหาต้นฉบับเรื่อง Rec มาดู

หยงฮ้ง แซ่เตียว
วันเสาร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ซาเสี่ยวเอี้ย ศึกล้างเจ้ายุทธจักร Death Duel

ซาเสี่ยวเอี้ย ศึกล้างเจ้ายุทธจักร Death Duel
ระดับ 3 ดาว
โลกสมมุติ
บทความ 8

ประมาณปี 2520 ผมทำงานในร้านหนังสือของพี่ชายที่อำเภอเบตง จังหวัดยะลา ช่วงนั้นจะมีนิยายกำลังภายในเล่มบางๆกระดาษถูกๆออกมาขายรายสัปดาห์ ถ้าจำไม่ผิด ราคาเล่มละ 5 บาท นิยายพวกนี้ขายไม่ค่อยดี ส่วนใหญ่จะขายเหลือ หรือขายไม่ออก เพื่อนพี่ชายจะรอจนนิยายเรื่องนั้นออกวางขายจนจบเรื่อง ก็จะเอาเล่มเล็กๆประมาณ 4-5 มาเย็บเล่ม รวมเป็นเล่มใหญ่ 1 เล่ม และให้เช่า พอให้เช่าก็พอมีคนเช่าไปอ่านบ้าง ช่วงที่ว่างๆไม่มีอะไรทำผมก็ลองหยิบมาอ่านดู มีเรื่องหนึ่ง ชื่อแปลกๆ ซาเสียวเอี๊ย

นิยายเรื่องนี้มาแปลก เปิดเรื่องเล่าถึงซ่องนางโลมแห่งหนึ่ง มีชายคนหนึ่งชื่อ อากิก มาของานทำ เป็นงานต่ำๆ ปัดกวาดเช็ดถูทำความสะอาดหรือเสริฟอาหาร ตลอดเวลาที่ทำงาน อากิกถูกทุกคนในซ่องรุมกันรังแก แต่อากิกก็ยังทนอยู่ไม่ตอบโต้ มีนางโลมคนเดียวในซ่องที่คอยมาปกป้องเขา นางโลมคนนี้อายุน้อง รูปร่างบอบบาง ไม่ได้ชวนเสน่หาอะไร แต่น่าแปลกที่เธอเป็นนางโลมชื่อดังที่สุด เรียกแขกและรับแขกได้มากที่สุดเหนือกว่านางโลมทุกคน ผู้ชายหื่นและกลัดมันจำนวนมากมายต่างมุ่งมาที่ซ่องแห่งนี้เพื่อมาใช้บริการของเธอ

ผมอ่านได้แค่นี้แหละครับ แล้วไม่ได้อ่านต่ออีกเพราะไม่มีเวลาว่างอีกแล้ว จากที่ได้อ่านตอนต้นไม่กี่บท รู้สึกว่า โก้วเล้ง คนแต่งนิยายเรื่องนี้บรรยายช่วงที่ อากิก ถูกรังแกโดยไม่ตอบโต้ได้รันทดมาก ช่วงที่นางโลมมาช่วยปกป้องอากิกก็ได้เห็นน้ำใจอันงดงามของเธอ ช่วงที่บรรยาว่าหนุ่มๆกลัดมันมากมายแห่มาใช้บริการของเธอ ก็สะท้อนถึงความวิปริตของคนในสังคม อ่านไปแค่นี้ก็รู้สึกว่า โก้วเล้ง เป็นอัจฉริยะ แค่เปิดเรื่องนิยายไม่กี่บท นิยายสะท้อนอะไรออกมาได้มากมาย

ที่รู้สึกแปลกใหม่กับนิยายเรื่องนี้คือ เราไม่คิดเลยว่า อากิก จะเป็นพระเอก และนางโลม เป็นนางเอกของเรื่องได้ แต่พอมาดูหนัง สองคนนี้เป็นพระเอกนางเอกของเรื่องนี้

ศึกล้างเจ้ายุทธจักร เป็นหนังดังของชอว์บราเดอร์ในยุคประมาณปี พ.ศ. 2520 ที่คอหนังกำลังภายในรอชม พอเข้าฉาย ผมตีตั๋วเข้าชมรอบแรก จำได้ว่าประทับใจหนังเรื่องนี้มาก ขนาดที่ต้องตีตั๋วดูซ้ำในอีก 2 วันถัดมา

เมื่อเร็วๆนี้ พี่ชายกับผมไปเจอหนังเรื่องนี้วางขายในรูป vcd บนสะพานลอยที่วงเวียนใหญ่ ราคา 25 บาท พี่ชายซื้อ ส่วนผมขอยืมมาดู ก่อนดูไม่ได้ตั้งความหวังอะไรมากมาย คิดว่าหนังคงเชยไปแล้วถ้าเทียบกับหนังฮ่องกงฟอร์มใหญ่ยุคนี้ แต่กลับกลายเป็นว่า หนังยังคงยอดเยี่ยม ดูสนุก เรียกว่าหนังยุคนี้ที่ฟอร์มใหญ่กว่า เทคนิคซีจีดีกว่า ทำอะไรหนังเรื่องนี้ไม่ได้เลย

หนังเปิดเรื่องด้วยจอมยุทธนาม อี้จับซา (อี้สิบสาม) ดวลดาบกับจอมยุทธอีกหลายคน อี้สิบสามใช้เพลงดาบเพียง 13 ท่าก็ฆ่าจอมยุทธจำนวนหลายคนดาวดิ้นหมด คู่ดวลคนต่อไป คือจอมยุทธอันดับหนึ่งของแผ่นดิน นาม ซาเสียวเอี้ยว (คุณชายน้อยคนที่สาม) ถ้าเขาพิชิตซาเสียวเอี๊ยได้ เขาจะได้ชื่อว่า เป็นนักดาบอันดับหนึ่งของแผ่นดิน

ไม่ใช่อี้จับซาเท่านั้นที่ต้องการดวลกับซาเสียวเอี้ย มีจอมยุทธนับร้อยนับพันจากทั่วแผ่นดิน ต่างเดินทางมุ่งตรงไปที่บ้านของซาเสียวเอี๊ย และท้าดวล ซาเสียวเอี๊ยดวลกับจอมยุทธทั่วทิศทุกวัน จอมยุทธจำนวนนับไม่ถ้วนต้องดาวดิ้นภายใต้คมกระบี่ของเขา จนซาเสียวเอี๊ยเบื่อหน่าย จึงแกล้งปล่อยข่าวว่าเขาเสียชีวิตแล้ว และหนีออกจากบ้านไป อี้จับซามาขอท้าดวล ซาเสียวเอี๊ยก็ไม่อยู่ซะแล้ว

ในช่วงนั้นเกิดชายพเนจรคนหนึ่งชื่อ อากิก ที่ไม่มีเงิน ไม่มีบ้าน ไม่มีอะไรเลย และกำลังจะอดตาย จึงมาของานทำในซ่องนางโลม เขาได้พบกับโสเภณีจิตใจงามที่คอยปกป้องเขาจากการที่เขาโดนรังแก ช่วงนั้นจอมยุทธทั่วทิศที่ไม่เชื่อว่าซาเสียวเอี้ยจะเสียชีวิตอย่างไม่มีเหตุผล ต่างตามล่าตัวซาเสียวเอี๊ยกันจ้าละหวั่น ไม่นาน ความลับก็แตก ว่า อากิก ก็คือซาเสียวเอี๊ยที่ปลอมตัวมานั่นเอง

หนังดีครับ สนุก เดินเรื่องเร็ว น่าติดตาม ที่เด่นมากๆคือโปรดักชั่น ชอว์บราเดอร์เป็นบริษัทที่ทำหนังด้วยงบประมาณประหยัดมาก หนังของชอว์บราเดอร์ส่วนใหญ่โปรดักชั่นจะไม่สวย แต่หนังเรื่องนี้ผิดคาด โปรดักชั่นสวยมาก ฉากเสื้อผ้า มุมกล้อง การให้แสงสี ทุกอย่างสวย กลมกลืนกันไปหมด หนังสวยทั้งจอ ดูออกว่าเป็นหนังที่มีการคุมโทนสีด้วย ซึ่งปกติหนังของชอว์จะไม่ค่อยมีเรื่องคุมโทนสี สีของหนังออกมามั่วๆ หนังก่อนหน้านี้ของผู้กำกับฉู่เหยียน อย่าง ศึกวังน้ำทิพย์ ฯลฯ คงทำเงินถล่มทลายไปทั่วเอเชีย พอมาถึงหนังเรื่องนี้ ฉู่เหยียน สามารถต่อรองได้มากขึ้น สามารถทำหนังที่ประณีตมากขึ้นได้ ปกติหนังของชอว์จะเป็นหนังที่สร้างอย่างลวกๆ แต่หนัง ซาเสียวเอี๊ย นี้ดูออกเลยว่า งานสร้างประณีตมากๆจนผิดตา

หนังถ่ายทำในสตูดิโอตลอดทั้งเรื่อง ฉากป่าก็สร้างฉากป่าปลอมๆซึ่งไม่แนบเนียนเลย ดูออกว่าเป็นฉาก แต่ความที่เช็ตฉากได้สวย เลยดูกันเพลินๆ ดูๆไปจะรู้สึกว่าเนื้อเรื่องมันแฟนตาซีเต็มที่ ฉู่เหยียนผู้กำกับก็ตีความว่าเรื่องนี้เป็นจินตนาการเหมือนกำลังดูการ์ตูนที่เอาคนมาแสดง เลยเซ็ตทุกอย่างเหมือนกำลังสร้างโลกสมมุติ โลกของจอมยุทธ การดวลดาบเพื่อชิงความเป็นเจ้ายุทธจักร เป็นโลกสมมุติที่ไม่มีอยู่จริงๆ เป็นโลกสมมุติที่สนุกมากๆ

หนังไม่ค่อยเหมือนหนังสือเท่าไหร่ หนังสือเดินเรื่องค่อนข้างช้า แต่พอเป็นหนัง ฉู่เหยียนผู้กำกับเดินเรื่องเร็วมาก ช่วงเปิดเรื่องในหนังสือที่ผมอ่านมาแค่ 2-3 บทพอมาเป็นหนังเดินเรื่องเร็วจี๋ว จังหวะและอารณ์ในหนังสือจะช้าๆ ค่อยๆเป็นค่อยๆไป ข้อดีของการที่หนังเดินเรื่องเร็วคือไม่อืดอาด ไม่น่าเบื่อ แต่อารมณ์ลึกๆอย่างในหนังสือมันหายไปหมดเลย ไม่ใช่หนังไม่ดีนะครับ หนังดีมาก แต่เคยอ่านหนังสือมาแล้ว เลยเห็นข้อเปรียบเทียบว่า หนังสือลึกกว่า

เพื่อนของผมคนหนึ่งเขาบอกว่าเขาอ่านนิยายของโกวเล้งที่นำมาสร้างเป็นหนังมาหลายเรื่อง ถ้าเทียบกับหนังสือแล้ว หนังเอาเรื่องในหนังสือมาสร้างแค่ 10 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง เรื่อง ซาเสียวเอี้ย เขาก็อ่านจนจบ เขาก็เลยมาเล่าว่าตรงไหนที่หนังไม่เหมือนหนังสือเลยให้ฟัง

ในหนังสือ อี้จับซา ที่ได้ฉายา อี้สิบสาม ก็เพราะคิดเพลงดาบพิฆาต 13 ท่า เป็นเพลงดาบที่เขาคิดว่าร้ายกาจมาก เขาลองพิสูจน์ความร้ายกาจของเพลงดาบของเขาด้วยการท้าดวลกับจอมยุทธยอดฝีมือทั่วแผ่นดิน ผลการดวลคือ อี้จับซา ใช้เพลงดาบไปแค่ไม่กี่ท่า คู่ต่อสู้ก็ดาวดิ้นเสียแล้ว ตั้งแต่ดวลดาบมา อี้จับซายังไม่เคยใช้เพลงดาบครบทั้งสิบสามท่าเลย

เพื่อนเล่าให้ฟังอีกว่า โก้งเล้ง แต่งนิยายกำลังภายในอีกเรื่องชื่อ ไม่สิบสาม เป็นชื่อของพระเอก ความหมายคือ ไม่มีพ่อ, ไม่มีแม่, ไม่มีพี่, ไม่มีน้อง, ไม่มีญาติ, ไม่มีเพื่อน, ไม่มีเมีย, ไม่มีบ้าน, ไม่มีเงิน ฯลฯ และไม่อันที่สิบสามคือ ไม่มีใครสู้ข้าได้ เนื้อเรื่องพระเอก ไม่สิบสาม เป็นจอมยุทธที่เก่งมาก ไม่มีใครสู้ได้ ตัวนางเอกนั้นมีความแค้นกับพระเอก ต้องการฆ่าเขา แต่ฝีมือนางเอกฆ่าเขาไม่ได้หรอก สุดท้าย พระเอกที่รักนางเอกมาก จึงต้องยืนเฉยๆ ปล่อยให้นางเอกฆ่าเขา เพื่อนไม่ชอบตอนจบ บอกว่าไม่น่าจบแบบนี้ ไม่สนุก แต่ถ้ามองในแง่ของเงื่อนไขที่ตัวคนแต่งผูกขึ้นมา ผูกเรื่องแบบนี้ จบแบบนี้ก็ตอบโจทย์ได้ลงตัว

ในหนังสือ ท้ายสุด ซาเสียวเอี้ย ก็ต้องมาดวลกับ อี้สิบสาม ในหนังกับในหนังสือไม่เหมือนกันเลย ลองดูนะครับว่าในหนังสือแต่งเอาไว้อย่างไง อี้จับซา ดวลดาบแต่ละครั้งไม่เคยใช้เพลงดาบครบ 13 ท่า แต่พอมาดวลกับซาเสียวเอี้ย อี้จับซาใช้เพลงดาบครบ 13 ท่าก็ยังเอาชนะซาเสียวเอี้ยไม่ได้ ซาเสียวเอี้ยคิดว่า เขาคงชนะแล้ว แต่สิ่งที่ซาเสียวเอี้ยยังไม่รู้คือ ก่อนจะมาดวลกับซาเสียวเอี้ย อี้จับซาคิดเพลงดาบท่าที่ 14 ออกมาได้แล้ว อี้จับซาใช้เพลงดาบท่าที่ 14 ซาเสียวเอี้ยรับไม่ได้ พลาดท่า ดาบของอี้จับซากำลังพุ่งเข้าจุดตายของซาเสียวเอี้ย ความที่อี้จับซารักซาเสียวเอี้ยมาก ฆ่าซาเสียวเอี้ยไม่ลง เขาตัดสินใจตวัดดาบกลับมา แต่เพลงดาบท่าที่ 14 เป็นท่าโหดเหี้ยมมาก ใช้ออกไปต้องมีคนตาย ถึงไม่ฆ่าเขา เพลงดาบท่านี้จะมาฆ่าตัวเอง ดาบตวัดเข้าหาจุดตายของอี้จับซา อี้จับซาเสียชีวิต อี้จับซาต้องการรู้แค่ว่า เขากับซาเสียวเอี้ย ใครเหนือกว่ากัน เขารู้แล้ว และซาเสียวเอี้ยก็รู้แล้ว ในเมื่อเขาสมหวังแล้ว เขาจึงไม่ต้องการฆ่าซาเสียวเอี๊ย เพลงดาบท่าที่ 14 ของอี้จับซานั้น ยอดเยี่ยมมาก ยอดเยี่ยมที่สุดไม่เคยมีมาก่อน ถ้าใช้เมื่อไหร่ คู่ต่อสู้ไม่ว่าเก่งมาจากไหนต้องดาวดิ้นทุกคน ไม่มีใครต้านทานได้ ซาเสียวเอี้ยได้เห็นเพลงดาบท่าที่ 14 แล้ว และจำได้แม่น เขารู้ว่า สักวัน ต้องมีจอมยุทธยอดฝีมือมาขอท้าดวล และเขาจะต้องใช้เพลงดาบท่าที่ 14 แน่ๆ ความที่ไม่อยากฆ่าใครอีกแล้ว ซาเสียวเอี้ยตัดสินใจตัดนิ้วโป้งมือขวาของตัวเอง เพื่อที่จะกำดาบไม่ได้ และทำให้เขาไม่สามารถดวลดาบได้อีกต่อไป

เป็นไงครับ หนังสือจบลึกซึ้งไหม ผมชอบหนัง ศึกล้างเจ้ายุทธจักร มาก แต่ที่ไม่ให้ 4 ดวงก็ตอนจบนี่แหละ ฉากดวลดาบระหว่างซาเสียวเอี้ยกับอี้จับซาตอนจบจืดชืดมากๆ เรียกว่าหนังสนุกมาตลอดทั้งเรื่อง มาเซ็งเอาฉากจบนี่เอง แต่ก็เข้าใจครับว่าต้องจบไม่เหมือนหนังสือ จะจบแบบหนังสือทำไม่ได้หรอกครับ ส่วนหนังสือนั้นได้เปรียบตรงที่โกงเล้งสามารถบรรยายอะไรได้พิศดารมากๆ แต่ไอ้ที่บรรยายเป็นตัวหนังสือมันทำเป็นหนังไม่ได้เลย เป็นเรื่องของความได้เปรียบทางภาษาจริงๆ หนังจบแบบเรียบๆ แต่ก็ใช้ได้ เพียงคนดูรู้สึกว่าตอนจบมันจืดไปหน่อย

ศึกล้างเจ้ายุทธจักร เหมาะสำหรับคนดูที่อายุ 50 ปีขึ้นไป ไม่แนะนำสำหรับคนที่อายุน้อยกว่านี้ ยิ่งถ้าเคยดูหนังเรื่องสมัยออกฉายครั้งแรกแล้ว ซื้อมาดูเถอะครับ ไม่ผิดหวัง ดูแล้วรำลึกถึงบรรยากาศความหลังสมัยหนุ่มๆได้ดีทีเดียว

หยงฮ้ง แซ่เตียว
วันเสาร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553