วันพฤหัสบดีที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

บทความ


 
บทความ 7
เชิญโพสท์ข้อความ รูปภาพ วิดีโอคลิป

บล็อกของเราเปิดตัวเต็มที่แล้วนะครับ เชิญโพสท์ข้อความในบล็อกของเรา จะเป็นเรื่องอะไรก็ได้ บทวิจารณ์หนัง หนังในดวงใจ ถ้ารู้สึกว่าตัวเองไม่ได้มีความรู้เรื่องหนังมากพอที่จะเขียนบทวิจารณ์ เอาแค่ว่า ดูหนังเรื่องอะไรมา แล้วรู้สึกอย่างไร ชอบไม่ชอบ หนังดีไม่ดี แค่นี้ก็เขียนเข้ามาคุยกันได้แล้ว ข้อความที่จะส่งเข้ามาไม่ได้จำกัดเฉพาะเรื่องหนังนะครับ เรารับทุกเรื่อง จะหาเพื่อน โฆษณาย่อยฟรี ขายของ รับสมัครงาน หางาน ฯลฯ บริษัทหนังต้องการลงข่าวแจกฟรี ประชาสัมพันธ์ฟรี เชิญได้ (หรือจะซื้อพื้นที่โฆษณาสินค้าเป็นกิจลักษณะเลยก็ได้) ลงบทความอะไรก็ได้ครับ ไดอารี่ วันๆทำอะไรบ้าง ขออย่างเดียว อย่าลงบทความที่ส่อไปทางผิดกฎหมาย เดี๋ยวบล็อคของเราจะโดนปิดเอา จะโพสต์รูปภาพ หาเพื่อน คุย แจกอีเมล โพสต์วิดีโอคลิป หนังสั้น เชิญได้เต็มที่ โพสท์กันเข้ามามากๆนะครับ บล็อกของเราจะได้คึกคัก ใครทำเว็บไซ้ด์ต้องการจะแลกลิ้งก์กับเราก็ยินดี สังคมของเราจะได้กว้างขึ้น

หยงฮ้ง แซ่เตียว
7 พ.ย. 2553

บทความ 8
มังกรหยก ภาค 1, ภาค 2 The Brave Archer
ระดับ 3 ดาว น่าดู
มังกรหยกฉบับดีที่สุดเท่าเคยดูมา

สมัยเมื่อประมาณ 30 ปีที่แล้ว น่าจะประมาณ พ.ศ. 2520 ช่วงนั้นในวงการหนังจีน หนังแนวกำลังภายในซบเซาถึงขีดสุด อาจจะเรียกว่าหนังกำลังภายในตายไปจากตลาดแล้ว หนังประเภทหนังรักของไต้หวันกลับมาแรงมากๆ สร้างต่อเนื่องให้ดูกันตลอดทั้งปี แต่ละเรื่องทำเงินเป็นกอบเป็นกำจนนายทุนยิ้ม ทางฝั่งบริษัทชอว์บราเดอร์ที่ไม่ถนัดในการทำหนังรักเอาเสียเลย เรียกว่าบุคลากรที่เก่งในแนวนี้ไม่มีนั่งอยู่ในบริษัทเลย ทั้งคนเขียนบท ผู้กำกับ รวมถึงตัวนักแสดง ว่ากันตามตรงแล้ว ชอว์เติบโตมากับหนังกำลังภายใน หนังแอ็คชั่น รองลงมาก็สร้างหนังแนวดราม่า ซึ่งก็มีหนังดราม่าดีๆออกมาหลายเรื่อง แต่หนังรักนี่ เรียกว่าชอว์สร้างไม่เป็นเอาเลย อาจจะเคยมีออกมาบ้างเรื่องสองเรื่อง ก็คงจะดูประดักประเดิกกันเต็มที หนังแอ็คชั่นดังๆในช่วงนั้นเป็นหนังหมัดมวย หรือที่ฝรั่งเรียกว่า กังฟู หนังประเภทวัดเส้าหลินเริ่มทยอยสร้างกันออกมา ประวัติพระเส้าหลินดังๆ ประวัติศิษย์เส้าหลินที่เป็นคาราวาสดังๆก็ถูกทยอยสร้างกันออกมา เป็นหนังที่ครองตลาดในช่วงนั้น แต่ละเรื่องเป็นหนังดังที่ยังมี DVD ออกมาวางขายกันจนถึงทุกวันนี้ จนมีผู้กำกับหน้าใหม่ นามฉู่เหยียน นำนิยายกำลังภายในที่เขียนโดย โก้วเล้ง เรื่อง กระบี่ ผีเสื้อ ดาวตก มาทำเป็นหนังกำลังภายในชื่อเรื่อง ศึกชุมนุมเจ้ายุทธจักร เรียกว่าเป็นการฉีกตลาดครั้งสำคัญกันเลย เพราะหนังแนวนี้ไม่มีใครเขาทำกันแล้ว เป็นหนังทุนต่ำ เหมือนทำออกมาทดลองตลาด ภาพทุกภาพที่ออกมา เรียกความทรงจำของคอหนังกำลังภายในออกมาได้หมด เรียกว่าผู้กำกับคนนี้แตกฉานเรื่องหนังกำลังภายในจริงๆ ฉาก เสื้อผ้า คิวบู๊ ได้บรรยากาศหนังกำลังภายในเก่าๆที่เคยดูกันมาไม่มีผิดเพื้ยน ความที่เป็นแค่หนังทดลองตลาดทุนต่ำ คุณภาพของหนังเลยออกมาแค่ 2 ดาว คือพอดูได้ แต่หนังก็ทำเงินเป็นกอบเป็นกำ ฉู่เหยียน นำนิยายดังๆของโกวเล้ง ทยอยสร้างตามมาอีกหลายเรื่อง คราวนี้ทุกเรื่องโกยเงินเป็นบ้าเป็นหลัง ทุกเรื่องกลายเป็นหนังดังประจำปี แน่นอนว่าบริษัทหนังอื่นๆก็ทยอยทำหนังแนวนี้ออกมาโกยเงินคนดูหนังเข้ากระเป๋าตัวเองเหมือนกัน หนังกำลังภายในที่ตายไปแล้ว กลับฟื้นคืนชีพมาคึกคักอย่างที่ไม่มีใครคาดคิด

จางเชอะ ผู้กำกับที่เคยสร้างหนังกำลังภายในดังๆในอดีตหลายๆเรื่อง จึงกลับมาทำหนังกำลังภายอีกครั้ง ด้วยหนังชุด มังกรหยก ผลงานของ กิมย้ง นิยายกำลังภายในที่น่าจะเรียกได้ว่ายอดเยี่ยมที่สุด ดีที่สุดเท่าที่เคยมีคนเขียนกันขึ้นมา ช่วงนั้นหนังประเภทโก้วเล้ง ฉู่เหยียน ครองตลาดหนังกำลังภายในไปร้อยเปอร์เซ็นต์ เปิดหนังสือหนังจีนก็จะมีแต่ข่าวหนังใหม่ของโก้วเล้ง ฉู่เหยียน ที่กำลังถ่ายทำกันอยู่ พี่ชายของผมบ่นว่าน่าเบื่อ เปิดหนังสือหนังจีนกี่เล่มๆก็มีแต่หนังโก้วเล้งฉู่เหยียนอยู่นั่นแหละ ในความรู้สึกของผม หนังแนวโก้วเล้งฉู่เหยียนนั้นดูทันสมัยมากๆ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า ทรงผม ฉาก แต่พอมาดูภาพประชาสัมพันธ์หนังเรื่อง มังกรหยกของ จากเชอะ ซึ่งกำลังถ่ายทำกันในช่วงนั้น เห็นภาพถ่ายแล้วผมได้แต่ งุนงง ว่าหนังอะไร ทำไมมันดูเชยอย่างนี้ เสื้อผ้า ฉาก บุคลิกตัวละครมันดูเชยไปหมด ไม่น่าดู ฟอร์มของหนังเหมือนหนังกำลังภายในโบราณยุคหนังขาว-ดำโน่นเลย คือไม่เข้าใจว่า ถ้าฉู่เหยียนทำฟอร์มหนังให้ดูทันสมัยกันขนาดนี้แล้ว ทำไมจางเชอะถึงทำฟอร์มหนังตัวเองให้ดูเชยไม่น่าดูขนาดนี้ ตอนที่หนังเข้าฉายผมก็ตีตั๋วเข้าไปดู ตัวผมเองไม่ใช่คอนิยายกำลังภายใน นิยายเรื่องมังกรหยกก็ไม่เคยอ่าน เรียกว่าดูหนังเรื่องนี้โดยไม่มีพื้นมาก่อนเลย ไม่รู้เรื่องอะไรเลย เริ่มจากศูนย์จริงๆ พอดูหนังเข้าจริงๆก็ผิดหวัง คือไม่สนุกกับหนังเรื่องนี้เลย

หลังจากนั้นก็มีหนัง มังกรหยก ภาค 2 ออกมา คราวนี้หนังสนุก น่าประทับใจ

เมื่อปลายเดือนตุลาคม 2553 ผมกับพี่ชายเดินไปแถววงเวียนใหญ่ ตอนเดินข้ามสะพานลอย พี่ชายเห็นพ่อค้าเอาวีซีดีหนังกำลังในของชอว์บราเดอร์มาวางขายแบกะดินเรื่องละ 25 บาท พี่ชายซื้อมา 3 เรื่อง มีเรื่อง มังกรหยก ภาค 1 ภาค 2 ด้วย ผมขอยืมพี่ชายมาดู และทั้งหมดคือที่มาของบทความชิ้นนี้

ผมดู มังกรหยก ภาค 1 แบบไม่ได้คาดหวังว่าหนังจะสนุกอะไร เพราะเคยดูเมื่อประมาณ 30 ปีที่แล้ว และไม่ชอบ ก็ดูไปอย่างนั้นๆ ตอนหนังเริ่มเรื่อง ก็เริ่มเห็นความเชยของหนัง เห็นเลยว่าหนังเรื่องนี้ทุนต่ำมากๆ ฉากเล็กๆ สร้างหยาบๆ ส่วนใหญ่ก็ถ่ายทำกันในโรงถ่าย ทุกอย่างถ้ามาเทียบกับหนังหนังฮ่องกงกันยุคนี้เรียกว่าต่างกันกับฟ้ากับเหว หนังฮ่องกงยุคนี้ลงทุนมากกว่าหนังยุคมักกรหยกเป็นร้อยเท่าน่าจะได้ ฉาก เสื้อผ้า การถ่ายทำของหนังยุคใหม่ดูใหญ่โตสวยงาม หาที่ติดแทบไม่ได้ พอมาดูหนังทุนต่ำอย่างมังกรหยกที่ดูกระจอกมากๆ ช่วงแรกต้องทำใจปรับตัวอยู่นาน ดูไปได้ประมาณครึ่งเรื่องจนปรับตัวได้กับทั้งความกระจอกและความเชยของหนัง คราวนี้เริ่มสนุกแล้วครับ ยิ่งเคยดูมาแล้วทั้งฉบับหนังโรง หนังทีวี รู้จักเนื้อเรื่อง รู้จักตัวละครหลักๆมาแล้ว คราวนี้เลยสนุกว่าตอนที่ดูโดยไม่รู้เรื่องอะไรเลย

สมัยดูมังกรหยกเมื่อ 30 ปีที่แล้ว ผมดูไปเบื่อไป แต่พอกลับมาดูตอนนี้ น่าแปลก ที่ยิ่งดูยิ่งสนุกมากขึ้นเรื่อยๆ พอดูภาค 1 จบ ก็อยากดูภาค 2 ต่อทันที เรียกว่าผมติดหนังเรื่องงอมแงมไปเลย

ภาค 1 เปิดเรื่องที่กำเนิด ก๊วยเจ๋ง เปิดตัว อึ้งย้ง ไปจบที่ ก๊วยเจ๋งต้องประลองยุทธกับ อาวเอี๊ยงเคี้ยง ลูกชายของเฒ่าสารพัดพิษ อาวเอี๊ยงฮง ใครชนะได้แต่งงานกับอึ้งย้ง

ฟังพล็อตเรื่องแล้ว มันเชยดีมั้ยครับ เนื่อเรื่องเป็นอย่างนี้จริงๆ แต่ก็แปลกที่เนื้อเรื่อง ตัวละคร มันเชยขนาดนี้ แต่ตัวหนังจริงๆกลับสนุกมาก ยิ่งดู ความสนุกยิ่งเพิ่มมากขึ้นอย่างนึกไม่ถึง

ตอนดูหนังเรื่องนี้ครั้งแรกเมื่อ 30 ปีที่แล้ว ผมรู้สึกเฉยๆกับ ฟูเซิง ที่รับบทก๊วยเจ๋ง แต่พอมาดูยุคนี้ กลับรู้สึกว่า ฟู่เซิง เหมาะกับบทก๊วยเจ๋งที่สุดเท่าที่เคยดูมา มีทั้งความหล่อ เท่ห์ ถึงฉากแอ๊คชั่นก็เล่นได้ดี รำมวยได้สวย ยิ่งถ้าเทียบกับนักแสดงทีวีที่รับบทก๊วยเจ็งคนอื่นๆแล้ว ฟู่เซิงกินขาดในทุกด้าน เป็นก๊วยเจ๋งที่สมบูรณ์ หาที่ติไม่ได้

ตอนทำหนังเรื่องนี้ ดาราสาวในสังกัดของชอว์บราเดอร์ไม่มีใครที่เหมาะกับบทอึ้งย้งเลยสักคน ผู้กำกับเลยต้องติดต่อนักแสดงนอกสังกัด คือ เถียนหนิ่ว นักแสดงสาวเล่นหนังแนวรักๆของใต้หวัน (ถ้าข้อมูลไม่ผิด ปัจจุบันเป็นภารยาของฉีเส้าเฉียน) มารับบทอึ้งย้ง สมัยที่ผมดูหนังเรื่องนี้ครั้งแรกเมื่อ 30 ปีที่แล้ว ก็รู้สึกเฉยๆกับการแสดงของเธอ แต่พอมาดูตอนนี้ กลับรู้สึกว่า เธอเป็น อึ้งย้งได้ดีที่สุด ยิ่งถ้าไปเปรียบเทียบกับนักแสดงสาวที่รับบทอึ้งย้งในหนังทีวีเวอร์ชั่นอื่นๆ เรียกว่าเธอกินขาดทุกคนหมด ไม่มีใครเทียบเธอติดเลย เธอเป็นอึ้งย้งทั้งตัวทั้งบุคลิกทั้งวิญญาณ เป็นอึ้งย้งที่สมบูรณ์หาที่ติไม่ได้ บุคลิกของอึ้งย้งคือร้าย แก่นเซี้ยวเปี๊ยวซ่า แถมมีความน่ารักในตัวด้วย เธอมีทุกอย่างที่กล่าวมาในตัวเองครบหมดอย่างที่นึกไม่ถึง ในขณะที่ดูอึ้งย้งฉบับหนังทีวีหลายๆเวอร์ชั่น มันไม่ได้ครบอย่างนี้ เต็มที่ได้แค่อย่างหรือสองอย่าง ที่แย่ยิ่งกว่านั้น บางคนไม่ได้ซักอย่างเลย คือเราดูแล้วเราไม่เชื่อเลยว่าเธอเป็นอึ้งย้ง

บทเจ้าเกาะดอกท้อ อึ้งเอี๊ยะซือ พ่อของอึ้งย้ง นำแสดงโดย กู้กวนจง สมัยที่ดูเมื่อ 30 ปีก่อน ไม่ชอบ เพราะมองออกว่า เอาคนหนุ่มมาแต่งหน้าเป็นคนแก่แล้วแต่งได้ไม่เนียน แต่พอมาดูเทียบกับหนังทีวีหลายๆฉบับ กลับรู้สึกว่า กู้กวนจง รับบทอึ้งเยี๊ยซือได้ดีที่สุด ออกมาแต่ละฉากนี่ เรียกว่าแย่งความเด่นใส่ตัวเองหมดเลย

บทเฒ่าสารพัดพิษ อาวเอี้ยงฮง รับบทโดย หวังหลงเหวย ก็เล่นแข็งๆไม่โดดเด่นอะไร บทเฒ่าทารก จิวแปะทง แสดงโดย กั๊วจุย เล่นได้เด่นกว่าฉบับทีวีเยอะ แต่นักแสดงรุ่นใหญ่ที่ผมรู้สึกว่าเล่นได้เด่นมากๆตั้งแต่สมัยดูเมื่อ 30 ปีที่แล้วคือ กุ๊ฟง ในบท เฒ่าขอทาน เทวดา 9 นิ้ว อั้งชิกกง กุ๊ฟงเล่นได้เด่นตั้งแต่ฉากเปิดตัวกวักมือขอไก่ย่างจากก๊วยเจ๋งและอึ้งย้ง และเล่นได้เด่นตลอดทั้งเรื่อง ฉากสอนวิทยุทธให้กับก๊วยเจ๋ง เราดูแล้วเชื่อว่า อั้งชิกกง เก่งจริงๆ ดูฉบับหนังทีวีเราไม่เชื่อเท่าไหร่

มาถึงภาค 2 ตอนนั้นชอว์เซ็นสัญญารับนักแสดงสาวคนหนึ่งเข้าสังกัด จำไม่ได้ว่าชื่ออะไร จำได้แต่ว่านักแสดงสาวคนนี้สมัยเด็กๆก็เคยเซ็นสัญญาเป็นนักแสดงของชอว์มาแล้ว ได้เล่นหนังมาบ้างจนหมดสัญญา แล้วไม่ได้เซ็นสัญญาต่อ พอโตเป็นสาว จึงมาเซ็นสัญญาอีก ทางผู้สร้างเห็นว่ารูปร่างหน้าตาของนักแสดงคนนี้พอจะเล่นบทอึ้งย้งได้ เลยเปลี่ยนตัว เอานักแสดงคนนี้มารับบทอึ้งย้งแทนเถียนหนิ่ว

หนังภาค 2  พอเห็นหน้าอึ้งย้ง คนดูรู้สึกขัดตาทันที เถียนหนิ่วเล่นบทอึ้งย้งไว้ยอดเยี่ยมอย่างหาที่ติไม่ได้ไปแล้ว นางเอกใหม่คนนี้ว่าไปก็สวยดี แต่รูปร่างหน้าตาดูแทบจะไปกันไม่ได้กับบทอึ้งย้งเลย อึ้งย้งภาค 2 นี่ลุคเปลี่ยนไปหมดตั้งแต่หัวจรดเท้า เถียนหนิ่วหน้าจีน แต่นักแสดงใหม่หน้าออกลูกครี่งฝรั่ง แค่หน้าก็ไม่เหมาะกับบทอึ้งย้งแล้ว เถียนหนิ่วรูปร่างจะอวบ แต่นักแสดงใหม่รูปร่างผอม มองในแง่บวกว่าเป็นหุ่นนางแบบก็ได้ แต่เคยเห็นอึ้งย้งอวบมาแล้วในภาคแรก ภาค 2 ดันมาผอมเพรียวนี่ดูแล้วขัดตาอย่างไรพิกล เถียนหนิ่ว เล่นบทอึ้งย้งด้วยบุคลิก แก่นเซี๊ยวเปรี้ยวซ่าน่ารัก นักแสดงใหม่คนนี้ ไม่มีบุคคลิกที่ว่าเลยซักอย่างเดียว บุคลิกของเธอเป็นคนที่นิ่ง เฉยๆ เต็มที่ก็ยิ้ม เท่านั้นเอง เรียกว่ากลายเป็นคนละคนกันไปเลย คนดูต้องดูจนหนังใกล้จะจบนั่นแหละ ถึงจะยอมรับได้ว่าเธอเป็นอึ้งย้ง

มังกรหยกภาค 2 เดินเรื่องต่อจากภาคแรก ต้นฉบับเป็นนิยายที่ยาวมาก หนังเปิดเรื่องโดยมีเสียงคนบรรยาย และตัดภาพเล่าเรื่องอย่างรวดเร็ว เพื่อให้เรื่องเดินไปข้างหน้า เป็นการเล่าเรื่องที่ดูลวก ขัดตา แต่ก็ต้องทำ คืออะไรที่มันไม่สำคัญก็เล่าข้ามๆไปซะ ขืนเล่าเรื่องละเอียดแบบในหนังสือ ตัวหนังคงต้องยาวหลายสิบชั่วโมงแบบหนังทีวี ซึ่งในแง่ของการทำหนังโรงจะทำแบบนั้นไม่ได้ มาถึงภาค 2 หนังเดินเรื่องกระชับขึ้น คิวบู๊สวยขึ้น ดุเดือดขึ้น เหมือนกับผู้กำกับได้ทำภาคแรกมาแล้ว จึงเริ่มมีความชำนาญกับหนังเรื่องนี้ หนังภาค 2 ดูดีขึ้นผิดหูผิดตา และอาจจะเป็นเพราะได้ทุนสร้างมากขึ้นด้วย หนังดูแน่นขึ้นในทุกๆด้าน จุดเด่นที่สุดในภาค 2 คือคิวบู๊ ดูดี ดูดุเดือดทุกคิว ในขณะที่คิวบู๊ภาคแรกดูเนือยๆ หนังจับความตั้งแต่ก๊วยเจ๋งถูกขับออกจากเกาะดอกท้อ อึ้งย้งนั่งเรือออกมาตาม จึงถูกเฒ่าสารพัดพิษ อาวเอี้ยวฮง จับตัวไว้ และบังคับให้ก๊วยเจ๋งเขียนคัมภีร์เก้าอิมมาแลกตัว ไปจบที่ฉากชุมนุมพรรคกระยาจก

มังกรหยกภาค 1 และภาค 2 นี้ กำกับการแสดงโดยจางเชอะ ตอนดูหนังเรื่องนี้สมัยเมื่อ 30 ทีแล้วภาคแรก ไม่รู้สึกว่าผู้กำกับมีฝีมืออะไร ทำไปแกนๆ จนพอตอนหลังมีการเอานิยายเรื่องนี้มาทำเป็นหนังทีวีหลายเวอร์ชั่น เอาหนังทีวีไปเปรียบเทียบกับฉบับหนังโรงของจางเชอะ เลยรู้สึกว่า หนังฉบับของจางเชอะดีที่สุด อาจจะเป็นเพราะว่าหนังลงทุนมากกว่า เรื่องของฉาก เสื้อผ้า การถ่ายทำเลยออกมาดูดีกว่า และที่หนังโรงเหนือกว่าหนังทีวีแน่ๆ คือฉากบู๊ ดูลงทุนกว่า คิวบู๊ดูสวยกว่าหนังทีวีมาก มังกรหยกไม่ว่าฉบับทีวีหรือหนังโรง เนื้อเรื่องก็ใกล้เคียงกันละครับ จะต่างกันที่การตีความของผู้กำกับแต่ละคนว่าจะตีความหนังออกมาอย่างไร สำหรับจางเชอะ มีฟอร์มหนังของตัวเองชัดเจนมานานแล้ว ไม่ว่าจะเป็นมุมกล้อง ฉาก คิวบู๊ บุคคลิกตัวละครที่เน้นความเท่ห์ พอจางเชอะเอาฟอร์ทั้งหมดมาใส่เรื่องมังกรหยก ก็ทำให้มังกรหยกฉบับจางเชอะเป็นมังกรหยกที่น่าดู ดูดีมากๆ ชนิดที่มังกรหยกฉบับทีวีหลายฉบับที่สร้างตามๆกันมา ทำอย่างไงๆก็สู้ฉบับจางเชอะไม่ได้ โดยส่วนตัวผมจึงขอสรุปว่า มังกรหยก ฉบับจางเชอะ เป็นมังกรหยกที่ดีที่สุดเท่าที่ผมเคยดูมา

ไอเดียในหนังจางเชอะหลายๆอย่างดูเข้าท่า เริ่มตั้งแต่การออกแบบเสื้อผ้า คือถ้าเทียบกับเสื้อผ้าในหนังฮ่องกงยุคปัจจุบัน เสื้อผ้าในหนังมังกรหยกกระจอกมากๆ แต่ดูไปเรื่อยๆจะรู้สึกว่าคนออกแบบเสื้อผ้านี่เก่ง เสื้อผ้าทุกตัวสวย เหมาะกับบทตัวแสดง อย่างบทเอี้ยคังซึ่งเป็นอ๋อง จะแต่งตัวหรูทุกฉาก มีมงกุฎสวมหัว ก็เหมาะบทอ๋องดี เสื้อผ้าก๊วยเจ๋งกับอึ้งย้งดูเรียบๆ แต่ก็เหมาะกับเรื่อง เพราะสองคนนี้ผจญภัยไปทุกสถานที่ ก็ไม่รู้จะแต่งตัวให้มันหรูไปทำไม แถมต้องมีฉากบู๊เป็นระยะๆ เสื้อผ้าของพระเอกนางเอกจึงต้องทะมัดทะแมง และพร้อมลุยในทุกสถานการ การวางมุมกล้อง การตัดต่อ บุคลิกตัวละครที่มักจะยืนตรง วางมาดเท่ห์ ทำให้ฟอร์มของหนังดูเด่นมากๆ ซึ่งทุกอย่างที่บอก พอมาดูฉบับหนังทีวี ไม่มีฟอร์มพวกนี้เลย คือผู้กำกับหนังทีวีแต่ละเวอร์ชั่นก็ทำหนังตามฟอร์มของตัวเองไป ก็ดูสนุกตามแบบฉบับของตัวเองละครับ แต่ถ้าเทียบกับจางเชอะ หนังจางเชอะดูเด่นกว่าอย่างเห็นได้ชัด

มังกรหยกภาพ 1 ภาค 2 ที่ผมแนะนำในบทความชิ้นนี้ ไม่เหมาะกับวัยรุ่นอายุ 15 ถึง 16 ปีที่คุ้นเคยกับหนังฮ่องกงยุคปัจจุบันแต่ประการใด วัยรุ่นดูหนังเรื่องได้ไม่เกิน 5 นาทีคงเลิกดู เพราะทุกอย่างในหนังมันเชยไปหมด กระจอกไปหมด วิวัฒนาการ ทุนสร้าง เทคนิคการทำหนังฮ่องกงในยุคนี้ ไปไกลกว่าเมื่อ 30 ปีที่แล้วมาก อย่าไปหาซื้อมาดูเลยครับ เสียดายตังค์เปล่าๆ มังกรหยกทั้งสองภาคนี้เหมาะกับคนอ่านที่มีอายุพอๆกับผม คืออายุประมาณ 50 ปีขึ้นไป ยิ่งถ้าคุณเคยดูหนังเรื่องนี้เมื่อ 30 ปีที่แล้ว และชอบหนังเรื่องนี้เป็นทุนเดิมด้วยแล้ว ผมว่าน่าจะซื้อเก็บไว้เลยนะครับ ว่างๆไม่มีอะไรทำเอามานั่งดูก็เพลินดี และอย่างที่ผมบอก หนังที่สร้างด้วยฟอร์มเชยๆแบบนี้ ยุคนี้ไม่มีใครเขาสร้างกันอีกแล้ว ดูๆแล้วคุณจะรู้สึกเหมือนผมว่า ถึงแม้ทุกอย่างในหนังมันจะเชย แต่ก็สนุก

ดูๆไปความสนุกของมังกรหยกก็ต้องยกความดีทั้งหมดให้กับ กิมย้ง คนแต่งเรื่อง เนื้อเรื่องเป็นจุดเด่นที่สุด โครงเรื่องแปลกประหลาด ตัวละครแต่ละตัวมีพฤติกรรมประหลาดๆทั้งนั้น ทุกอย่างดูเป็นเรื่องแต่ง คือคงไม่มีเหคุการจริงๆเกิดขึ้นอย่างในหนังหรอก เรียกว่าหลายๆอย่างในหนังมันแปลกหลุดโลก ส่วนหนึ่งที่ทำให้นิยายเรื่องนี้ดังมากๆอาจจะมาจากการวางโครงเรื่องทื่แปลกใหม่ไม่ซ้ำใคร นิยายกำลังภายในทั่วๆไป ตัวพระเอกจะเก่ง นางเอกไม่เก่งเลย แต่เรื่องนี้ ก๊วยเจ๋งไม่เก่งเลย ขนาดตอนต้นเรื่อง 7 ประหลาดแดนใต้รับก๊วยเจ๋งเป็นศิษย์ และถ่ายทอดวิทยายุทธให้ ก๊วยเจ๋งก็ฝึกผิดๆถูกๆอยู่นั่นแหละ ไม่ก้าวหน้าเสียที ก๊วยเจ๋งนอกจากจะไม่เก่งแล้วแถมยังโง่ทึ่มอีก พอแต่งเรื่องแบบนี้ คนแต่งจะลำบากมาก คือเริ่มต้นก็สร้างโจทย์ที่ยากมากๆขึ้นมาแล้ว แล้วจะแก้ปัญหาที่ตัวเองผูกขึ้นมาได้อย่างไร ซึ่งกิมย้งก็ตอบโจทย์ของตัวเองออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม ทำให้นิยาย มังกรหยก ทั้งสนุก และโด่งดังมาจนถึงทุกวันนี้

ประเด็นหลักที่กิมย้งเอามาใช้ในมังกรหยกตลอดเรื่อง คือเอาจุดอ่อนของมนุษย์มาเล่น หรือพูดง่ายๆก็คือ เอาคนที่นิสัยเสียๆ สารพัดรูปแบบมาเป็นต้นแบบตัวละครในหนัง เริ่มจากอึ้งย้งเป็นเด็กมีปัญหา หนีออกจากบ้าน มันเหมือนเอาชีวิตคนจริงๆที่มีอยู่ในสังคมมาใส่ในฉากนิยายกำลังภายใน ตัวละครอื่นๆที่เหลือก็ร้ายๆทั้งนั้น ความเก่งของกิมย้งคือวางเอาไว้ก่อนเลยว่าใครจะร้ายได้แค่ไหน ใครจะเก่งกว่าใคร พอถึงฉากบู๊ จะได้กำหนดกันไว้ก่อนเลยว่า ใครจะชนะ กิมย้งใช้ประวัติศาสตร์เป็นฉากหลัง ทำให้เรื่องแน่นขึ้น แต่ตัวนิยายก็ออกมาใรรูปแบบแฟนตาซีเต็มที่ ตอนดูหนังเรื่องนี้ให้คิดว่าเรากำลังดูหนังการ์ตูนที่เอาคนมาแสดง จะได้สนุก คืออย่าคิดว่าเรากำลังดูสารคดี ถ้าคิดแบบนี้ ทุกอย่างในหนังมันไม่มีอะไรที่เป็นจริงขึ้นมาได้เลย ทุกอย่างในหนังมันโม้หลุดโลก หนังเต็มไปด้วยตัวละครที่ร้ายกาจ ละโมภ เห็นแก่ตัว โหดเหี้ยม พร้อมที่จะทำร้ายกันและกันในทุกๆเรื่อง นิยายเรื่องหนึ่งถ้ามีแต่ตัวละครแบบนี้มันจะมีคุณค่าอะไร คุณค่าของนิยายเรื่องนี้อยู่ที่ตัวละครก๊วยเจ๋ง ก๊วยเจ๋งแม้จะโง่และทึ่ม แต่เป็นคนดี จิตใจดี ฉากที่แสดงจิตใจดีของก๊วยเจ๋งฉากแรกคือฉากเลี้ยงข้าวอึ้งย้ง ทำให้อึ้งย้งประทับใจก๊วยเจ๋งตั้งแต่แรกพบ หนังเดินเรื่องต่อไปเรื่อยๆเราจะเห็นว่าก๊วยเจ๋งเป็นคนจิตใจดีตลอด ถ้าจะสู้ก็สู้เพื่อความถูกต้อง ผิดกับตัวผู้ร้ายหลายๆตัว ที่ฝีมืออาจจะเก่งกว่าก๊วยเจ๋ง แต่เอาความเก่งไปใช้ในทางที่ผิด กอบโกยประโยชน์ใส่ตัว เคยฟังนักจิตวิทยาพูดว่า ขอให้เราคิดแต่สิ่งที่ดี ทำแต่สิ่งที่ดี สองสิ่งนี้จะดึงดูดสิ่งดีๆเข้ามาในชีวิตเรา ในเรื่องมังกรหยก อาจจะเขียนขึ้นมาโดยแนวคิดนี้ ก๊วยเจ๋งเป็นคนที่คิดแต่สิ่งที่ดี ทำแต่สิ่งที่ดี ถึงแม้ตัวก๊วยเจ๋งจะโง่ทึ่ม ไม่มีวิทยายุทธอะไรเลยในตอนเริ่มแรก แต่พอหนังเดินเรื่องต่อๆมา ก็เริ่มได้ดื่มเลือดงูที่เลี้ยงด้วยสมุนไพร ทำให้กำลังภายในเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ได้ฝึกวิชาเพลงหมัดมังกร 18 ท่ากับอั้งชิกกง ได้ท่องตำราเก้าอิม และสองวิชานี้ช่วยพัฒนาวิทยายุทธของก๊วยเจ๋งให้อยู่ในระดับที่พอจะประมือกับผู้ร้ายคนสำคัญๆได้ ในมังกรหยกมีเหตุการณ์เกิดขึ้นมากมาย แต่สิ่งที่กิมย้งเน้นตลอดเรื่องคือ อะไรถูกอะไรผิด อะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ อะไรควรได้รับการสรรเสริญ อะไรควรประนาม

แม้ในเรื่องจะมีตัวละครร้ายๆเต็มไปหมดทั้งเรื่อง แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดที่กิมย้งเน้นตลอดทั้งเรื่องก็คือ เกิดมาเป็นคนแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ต้องมีคุณธรรม และนี่กระมัง ที่ทำให้นิยายเรื่อง มังกรหยก ยังเป็นอมตะมาจนถึงทุกวันนี้

ดูหนังเรื่องนี้แล้ว คิดแต่เรื่องดีๆ ทำแต่เรื่องดีๆกันเถอะครับ สิ่งดีๆจะได้เข้ามาในชีวิตคุณ

หยงฮ้ง แซ่เตียว
7 พ.ย. 2553

บทความ 9
สถานรับเลี้ยงผี The Orphanage
ระดับ 3 ดาว น่าดู
เล่าเรื่องแบบพลิกกลับ

ผมเป็นแฟนประจำรายการวิทยุเกี่ยวกับหนังคืนวันอาทิตย์ตอน 4 ทุ่มถึงเที่ยงคืนรายการหนึ่ง คืนหนึ่งนักวิจารณ์ประจำรายการแนะนำหนังเรื่อง The Orphanage ว่าเป็นหนังระทึกขวัญที่น่าดูมาก ต่อมาหนังเรื่องนี้เข้าฉายที่ลิโด้ เมื่อไม่นานมานี้ ผมเห็นหนังเรื่องนี้วางขายที่ร้าน ซึทาย่า พ้อยโตะ เลยซื้อมาดู

ก็สมคำร่ำลือครับ หนังน่ากลัวตื่นเต้นมาก หนังเขย่าขวัญประเภทผีๆนั้นเมืองไทยสร้างกันปีละหลายเรื่อง เห็นว่าเป็นหนังแนวที่ฮิตมากๆ ตลาดต้องการ อย่างที่เขาบอกว่า สูตรหนังทำเงินของไทยคือ ผี ตลก กะเทย หนังผีสร้างออกมาเยอะแยะจนจำไม่ไหว แต่แปลก ที่หนังแนวนี้ก็ไม่เห็นทำเงินทำทองอะไร แต่ก็ยังสร้างกันอยู่ได้ ไม่แน่ ตอนฉายโรงถึงไม่ได้ร้อยล้าน แต่ตอนปล่อยเป็นวิซีดีตามร้านเช่า อาจจะได้เงินเป็นกอบเป็นกำก็ได้ เห็นว่าหนังไทยเรื่อง เดอะกิ๊ก ก็เป็นแบบนี้ นายทุนถึงให้เงินทำภาค 2 ภาค 3 ตามออกมา หนังเรื่องออสตินเพาเวอร์ภาคแรกก็เหมือนกัน ช่วงนี้หนังผีไทยทยอยฉายทางฟรีทีวี ผมนั่งดูหนังกลุ่มนี้ได้ไม่เกิน 5 นาทีก็ปิดทีวีและเข้านอน ไม่ได้ดูถูกผีมือคนทำหนังไทยหรอก แต่ดูแล้วมันน่าเบื่อจริง เลยไม่รู้จะดูไปทำไม และไม่ได้หมายความว่าผมดัดจริตว่ารสนิยมสูง ดูหนังไทยไม่ได้ บทพิสูจน์ว่าหนังพวกนี้ไม่ได้เรื่องจริงๆคือ หนังพวกนี้ตอนฉายโรงก็ไม่ได้ร้อยล้าน คนทั่วๆไปก็รสนิยมพอๆกับผมนั่นแหละครับ ไม่ได้ดัดจริตอะไรเลย

The Orphanage เปิดเรื่องช่วงแรกหนังธรรมดามากๆ จนทำให้คิดว่านี่หรือหนังที่นักวิจารณ์พูดว่าตื่นเต้นนักหนา ไม่เห็นมีอะไรเลย แต่ปูเรื่องจนครบหมดและเริ่มเข้าเรื่อง ทีนี้ความตื่นเต้นมาแล้ว และมาแบบต่อเนื่อง เร้าใจตลอด เนื้อเรื่องง่ายๆ เด็กหญิงคนหนึ่งในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้ามีคนรับไปเลี้ยง เวลาผ่านไปหลายปีจนเธอโตเป็นผู้ใหญ่ วันหนึ่งเธอกลับมาพร้อมกับสามีและลูกชาย เธอซื้อสถานรับเลี้ยงเด็กแห่งนี้ซื่งปิดกิจการและประกาศขาย เธอตกลงใจจะเปิดเป็นสถานรับเลี้ยงเด็กพิการเนื้อเรื่องหลักๆก็มีแค่นี้ แต่เหตุการต่อจากนี้ หนังผูกเงื่อนปมได้ตื่นเต้นมากๆ

เนื้อเรื่องง่ายๆ ครึ่งแรกหนังเล่าเรื่องตามปกติ แต่ครึ่งหลังหนังเล่าเรื่องแบบพลิกกลับ ซึ่งทำได้เนียนมากจนน่าทึ่ง โดยส่วนตัวผมชอบหนังเรื่องนี้ในระดับ 3 ดาว ที่ยังไม่ให้ 4 ดาวเพราะยังมีหลายอย่างที่ผมไม่ชอบ ตั้งแต่เนื้อเรื่อง ยังไม่ชอบเท่าไหร่ เป็นเรื่องส่วนตัวนะครับ คนอื่นดูอาจจะชอบเนื้อเรื่องก็ได้ พอไม่ชอบเนื้อเรื่องแล้วเลยพาลไม่ชอบส่วนอื่นๆของหนังตามไปด้วย อีกอย่าง การเล่าเรื่องแบบพลิกกลับก็ไม่ใช่ของใหม่ หนังอย่าง ซิกเซ้นต์, ดิออเทอร์ และเฮเวนลี่ครีเอเจอ์ ทำมาแล้ว แต่ก็ยอมรับว่า The Orphanage ทำได้เนียนมากๆในระดับเดียวกัน ผมมาจับได้เอาตอนหนังจะจบแล้ว ซึ่งก็ถือว่าฝีมือผู้กำกับเขาเก่งมากๆนั่นแหละ

ครึ่งแรกตื่นเต้นมากๆครับ แต่ครึ่งหลังหนังเนือยๆลงมาเยอะ คือฉากตื่นเต้นมากๆไปอยู่ที่ครึ่งแรกหมดแล้ว แล้วรู้สึกว่าเนื้อเรื่องไม่ยุติธรรมกับนางเอกเท่าไหร่ ดูไม่มีเหตุมีผลที่บรรดาผีมาเล่นงานนางเอกกับลูก แต่ถ้ามองว่า เวลาผีหลอกคนมันไม่มีเหตุผลหรอก มันจะหลอกก็หลอก ถ้ามองมุมนี้หนังก็มีเหตุมีผลของตัวมันเองแล้วละ

หนังก้ำกึ่ง ดูๆจะชมว่าเป็นหนังที่แปลกใหม่ไม่เคยมีมาก่อนก็ได้ เพราะตอนดูครึ่งแรกรู้สึกว่าหนังมันแปลกใหม่จริงๆ พอเข้าครึ่งหลังนั่นแหละถึงจับไต๋ได้ว่า มันคล้าย ซิกเซ้นต์, ดิออเทอร์ และเฮเวนลี่ครีเอเจอ์ ความสนุกเลยลดไปเยอะ ข้อเสียอีกอย่างคือเนื้อเรื่องไม่ประทับใจเท่าไหร่ แต่สรุปแล้วหนังน่าดูครับ และไอ้ที่ไม่ให้ 4 ดาวอีกเหตุผลหนึ่งก็คือ หนังไม่มีสาระอะไร แต่คุณสนทยา ทรัพย์เย็นเคยเขียนเอาไว้ว่า หนังบางเรื่องคนทำหนังไม่ได้ต้องการพูดสาระอะไรลึกซึ้ง ทำหนังทดลองเล่าเรื่องวิธีแปลกๆใหม่ๆชนิดที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อนเท่านั่นเอง หนังเรื่องนี้ก็เข้าทำนองนั้น

หยงฮ้ง แซ่เตียว
วันอาทิตย์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น